top of page

อินฟลูเอนเซอร์คืออะไร? ทำไมธุรกิจควรใช้?

Updated: May 10


ภาพวาดล้อเลียนโมนาลิซาในสไตล์คลาสสิก ถือสมาร์ทโฟนสีแดงกำลังถ่ายเซลฟี่ สีหน้าอมยิ้มเล็กน้อย พื้นหลังเป็นภูมิทัศน์แบบดั้งเดิมตามต้นฉบับ สื่อถึงการผสมผสานระหว่างศิลปะคลาสสิกกับวัฒนธรรมดิจิทัลยุคใหม่
Mona Lisa taking a Selfie : Created by Midjourney Bot

Key Takeaway


  • ในยุคที่คอนเทนต์ล้นโลกและสมาธิ (Attention) มีอยู่อย่างน้อยนิด ทำให้แบรนด์ต้องการยืม "พลังพิเศษ" จากอินฟลูเอนเซอร์ ในการสะกดความสนใจของลูกค้า แบรนด์ใช้อินฟลูเอนเซอร์ในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มการมองเห็น (Brand Visibility), เพิ่มความน่าเชื่อถือ (Credibility), กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ (Purchase Decision) และเพิ่มยอดขาย (Sales)


  • อินฟลูเอนเซอร์ คือบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยสามารถโน้มน้าวให้ผู้ติดตามเลือกซื้อสินค้า ใช้บริการ หรือมีส่วนร่วมกับแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


  • อินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้ขายสินค้า แต่ขาย "ความสัมพันธ์" คนติดตามไม่ได้ซื้อเพราะโฆษณา แต่ซื้อเพราะรู้สึกเหมือนเพื่อนสนิทกำลังแนะนำ และนี่คือสิ่งที่การโฆษณาทั่วๆไปทำได้ยาก


  • การแบ่งประเภทอินฟลูเอนเซอร์สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งตามจำนวนผู้ติดตาม (Nano, Micro, Macro, Mega), ตามประเภทคอนเทนต์ (สายเกม, กีฬา, บล็อกเกอร์, ท่องเที่ยว, ความงาม, แฟชั่น, ครอบครัว, อาหาร, ป้ายยา) และตามช่องทางการสื่อสาร (YouTube, Instagram, TikTok, Facebook และอื่นๆ)


  • อินฟลูเอนเซอร์แต่ละสายมีจุดแข็งและความเหมาะสมกับสินค้าที่แตกต่างกัน เช่น สายเกมเหมาะกับเทคโนโลยีไปจนถึงสินค้าสำหรับพนักงานออฟฟิศ สายป้ายยาเหมาะกับทุกสินค้าที่อยากให้คนกดซื้อทันที นอกจากนั้นใหญ่ไม่ได้แปลว่าดีเสมอไปในโลกอินฟลูเอนเซอร์


อินฟลูเอนเซอร์คืออะไร?


อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คือ บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมาย ในปัจจุบันเรามักจะหมายถึง ช่องทางออนไลน์ เป็นหลัก เช่น โซเชียลมีเดีย บล็อก หรือวิดีโอคอนเทนต์ โดยสามารถโน้มน้าวให้ผู้ติดตาม รู้สึกเชื่อมั่นในสินค้า และส่งผลให้ซื้อสินค้าได้ในที่สุด


แบรนด์ทั่วโลกแห่กันใช้


แบรนด์ทั่วโลกกำลังทุ่มงบมหาศาลเพื่อแย่งตัวอินฟลูเอนเซอร์ ในสหรัฐฯ งบ Influencer Marketing โตขึ้นถึง 3 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แตะมูลค่าเกือบ 7 พันล้านดอลลาร์ (ข้อมูลจาก the Economist) แบรนด์ใหญ่เล็งเห็นแล้วว่า อินฟลูเอนเซอร์ได้กลายเป็น "กระบอกเสียงหลัก" ในการเชื่อมต่อผู้บริโภคกับสินค้าและบริการอย่างมีพลัง


โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แนวโน้มนี้ก็เติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน รายงานจาก Cube Asia และ impact.com ระบุว่า ยอดขายผ่านอินฟลูเอนเซอร์คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 20% ของยอดออนไลน์ในปี 2024 และมากกว่า 8 ใน 10 ของผู้บริโภคบอกว่าซื้อสินค้าเพราะได้รับการแนะนำจากอินฟลูเอนเซอร์!


ทำไมธุรกิจเลือกใช้?


อินฟลูเอนเซอร์ถ้าเลือกใช้ดีๆ แทบจะเหมือนแบรนด์มีสูตรโกงเกมอยู่ในมือ


  1. คอนเทนต์ ล้นโลก (โดยเฉพาะคอนเทนต์จากแบรนด์) : ทุกแบรนด์แข่งกันผลิตคอนเทนต์และยิงโฆษณา ค่ายิงโฆษณาสูงขึ้นไปเรื่อยๆในขณะที่ได้ผลตอบแทนต่ำลงเรื่อยๆ ซึ่งสวนทางกับคนดูซึ่ง ...

  2. คนดูมี Attention (ความจดจ่อ) ต่ำลงเรื่อยๆ : ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความนิยมของวิดิโอสั้นที่เริ่มต้นจาก TikTok และทุกแพลตฟอร์มก็แห่กันมีตามอย่างรวดเร็วทำให้คนคาดหวังในคอนเทนต์ทั้งสั้นกระชับและไม่เสียเวลา นำมาสู่เหตุผลที่ 3...

  3. การหยุดดู สำคัญกว่า การมองเห็น : ในสมัยนี้ทุกแพลตฟอร์ม คุณสามารถจ่ายเงินยิงโฆษณาเพื่อให้คนจำนวนมากมองเห็น (และไถผ่าน) แต่เราไม่สามารถจ่ายเงินให้เขาหยุดดูได้ ในขณะที่คนแบบอินฟลูเอนเซอร์ มีความสามารถในการทำให้คนหยุดดู จึงมาสู่ข้อที่ 4...

  4. เพิ่มโอกาสที่ผลิตภัณฑ์ของเราจะเป็นที่รู้จักอย่าง และเชื่อถือ และชื่นชอบ อย่างรวดเร็ว : เพราะแบรนด์ยืมพลังพิเศษอื่นๆ (นอกจากความสามารถในการ "หยุดดู") จากอินฟลูเอนเซอร์


ความสามารถพิเศษของอินฟลูเอนเซอร์


การใช้อินฟลูเอนเซอร์ก็เหมือนการยืมพลังพิเศษที่ทำให้แบรนด์ติดสปีดธุรกิจของตัวเองในด้านต่างๆเช่น


หญิงสาวในโทนขาวดำถือสมาร์ทโฟนในมือ สีหน้าตกใจตาโตและอ้าปากค้าง ขณะจ้องหน้าจอ แสงจากโทรศัพท์ส่องใบหน้าอย่างเด่นชัด บรรยากาศภายในห้องดูคลาสสิกและเงียบสงบ สื่อถึงอารมณ์ตกใจหรือเซอร์ไพรส์จากสิ่งที่พบออนไลน์
Attention is all you need : Created by Midjourney Bot
  1. เพิ่มการมองเห็น (Brand Visibility): เพราะเรายืมผู้ติดตามของอินฟลูเอนเซอร์ เวลาโพสต์ที หรือลงคลิปที ก็มักจะมีผู้ชมถล่มทลายเพราะมีแต่คนตั้งหน้าตั้งตารอ ในโลกที่ทุกแบรนด์แข่งกันยิงโฆษณา แย่งความสนใจลูกค้า ส่วนลูกค้าเองก็พร้อมจะไสลด์ข้ามโฆษณา การมีอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้รอติดตามเป็นจำนวนมากมาช่วยเราโพสต์โปรโมทสินค้าเรา ถือเป็นการยืมความสามารถในการดึงดูดความสนใจจากอินฟลูเอนเซอร์มาเพื่อเพิ่มโอกาสการมองเห็นให้แบรนด์เป็นอย่างดี


  2. เพิ่มความน่าเชื่อถือ (Credibility): อินฟลูเอนเซอร์หลายคนใช้เวลานาน กว่าจะสร้างตัวตนที่ มี authority (อำนาจ) และความน่าเชื่อถือ เราจะเห็นว่าอินฟลูเอนเซอร์หลายคนพูดอะไรก็ฟังดูมีน้ำหนักจนต้องพยักหน้าตาม นี่แหละเหตุผลที่แบรนด์เลือกอินฟลูเอนเซอร์มาเป็นกระบอกเสียง เพราะเมื่ออินฟลูเอนเซอร์ที่น่าเชื่อถือพูดถึงแบรนด์เรา ความน่าเชื่อถือของเขาจะถูกส่งต่อมาที่แบรนด์โดยปริยาย ถ้าเทียบกันถ้าคุณคือร้านอาหารแบรนด์ใหม่ที่คนไม่รู้จักมาก่อนพยายามลงคลิปโปรโมทร้านตัวเองและยิงโฆษณาเอง กับลองนึกภาพถ้า กุ๊กขี้เมา หรือ บังโต (บังโต ซิลลี่ฟูล / คำโตๆ) มาลงคลิปชมว่าร้านคุณอร่อยดูสิครับ ว่าผลลัพธ์อะไรจะเร็วกว่ากัน


  3. กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ (Purchase Decision): จากประสบการณ์ร่วมงานกับบริษัทมากมาย เราพบว่าจุดเด่นของอินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้อยู่ที่จำนวนผู้ติดตามเพียงอย่างเดียว แต่ยังอยู่ที่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและจริงใจ อินฟลูเอนเซอร์กลุ่มเล็กๆ อย่าง Nano หรือ Micro Influencer มีผู้ติดตามอาจไม่เยอะมาก แต่เหนียวแน่น พูดอะไรก็เหมือนคุยกับเพื่อนสนิท ที่จริงใจและจริงจังกับการแนะนำ จะป้ายยาอะไรคนก็ไปซื้อตาม แบรนด์ที่มองเห็นจุดนี้ก็จะใช้อินฟลูเอเซอร์เป็นหัวหน้าลัทธิ ป้ายยาแบบเนียนๆ สาวกพร้อมซื้อตามโดยไม่ถามเหตุผล


  4. เพิ่มยอดขาย (Sales): แน่นอนว่าเป้าหมายสุดท้ายของแบรนด์คือการเพิ่มยอดขาย และนี่ก็เป็นพลังสำคัญที่อินฟลูเอนเซอร์มีอยู่แล้วในมือ การแนะนำสินค้าจากอินฟลูเอนเซอร์ ไม่ใช่แค่การเพิ่มการรับรู้หรือความน่าเชื่อถือเพียงเท่านั้น แต่ อย่างที่เรา (อาจจะ) เคยโดนตกมาในแอพฯ TikTok มันสามารถเปลี่ยนจาก "แค่ดูๆ" มาเป็น "ซื้อเลยทันที" ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นเพราะลูกค้าเชื่อมั่นว่าอินฟลูเอนเซอร์นั้นได้ทดลองจริงใช้จริง หรืออินฟลูป้ายยาเก่งซะจนมือลั่น อินฟลูเอนเซอร์หลายคนโพสต์คลิปรีวิวทีไร ของที่แนะนำขายหมดเกลี้ยงแทบจะทันที นี่คือพลังพิเศษที่แบรนด์ต่างต้องการยืมจากอินฟลูเอนเซอร์มาช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างตรงจุดและทรงพลัง




อินฟลูเอนเซอร์มีกี่ประเภท


ขึ้นอยู่ที่เราแบ่งตามอะไร เช่น แบ่งตามจำนวนผู้ติดตาม แบ่งตามประเภทคอนเทนต์ แบ่งตามช่องทางการสื่อสาร ฯลฯ


แบ่งตามจำนวนผู้ติดตาม


  1. Nano Influencer: มีผู้ติดตาม 1,000 – 10,000 คน 

  2. Micro Influencer: มีผู้ติดตาม 10,000 – 100,000 คน 

  3. Macro Influencer: มีผู้ติดตาม 100,000 – 1,000,000 คน 

  4. Mega Influencer หรือ Celebrity: มีผู้ติดตามมากกว่า 1,000,000 คน 


ใหญ่หรือเล็ก อะไรดีกว่ากัน? คำถามโลกแตก


มีข้อดีและข้อเสียต่างกันไป บางครั้งใหญ่เกินไปคนไม่เชื่อก็มี สมมติแบรนด์เราขายกระเป๋าหนังแล้วลองนึกภาพว่าดาราที่ดังมากๆมีผู้ติดตามเป็นล้าน โปรโมทแบรนด์ให้กับเรา แน่นอนว่าเพิ่มการมองเห็นแน่ แต่ก็คงมีผู้ติดตามหลายคนที่ไม่เชื่อว่าดาราคนนี้ใช้แบรนด์เราจริง (เขาอาจคิดว่า ดาราค่าตัวแพงขนาดนี้ คงไปใช้แบรนด์ระดับ Super Luxury อย่าง Hermes, Gucci มากกว่าแบรนด์เล็กๆของเรา) เป็นต้น ดังนั้นถึงแม้อินฟลูเอนเซอร์ใหญ่ๆอาจเพิ่มการมองเห็นให้แบรนด์เราได้อย่างรวดเร็ว ก็อาจไม่ได้ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อจริง หรือแม้แต่จะทำให้ผู้ติดตามรู้สึก "อิน" กับแบรนด์ของเรา ในทางตรงกันข้าม อินฟลูเอนเซอร์ขนาดกลางๆ เจาะกลุ่มเฉพาะจริงๆ เวลาใช้อะไร คนก็มักจะเชื่อว่าคนนี้พูดจริงใช้จริง ก็จะส่งผลทำให้คนอยากซื้อตามมากกว่า


แบ่งตามช่องทางการสื่อสาร


  1. YouTube

  2. Instagram

  3. TikTok

  4. Facebook

  5. X (twitter)

  6. LinkedIn

  7. Spotify (สำหรับ Podcaster)


แต่ปัจจุบัน อินฟลูเอนเซอร์คนหนึ่งมักจะมีหลายช่องทาง ขึ้นอยู่กับว่าเขาเน้นสื่อสารผ่านทางช่องทางไหนเป็นหลัก


แบ่งตามสายงานหรือความถนัด


  1. สายเกมและสตรีมมิ่ง: เป็นสายที่ผู้ติดตามดูได้เป็นชั่วโมงๆ (ชื่อเล่นคือ “จอมดูดเวลา”) แน่นอนว่าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์จะตรงร่องอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสายที่ตรงกับสินค้าสำหรับพนักงานออฟฟิศอย่างเหลือเชื่อ (เราเคยทำมาแล้ว สายนี้ติดอันดับคนที่ทำยอดขายมากที่สุด) ด้วยความที่ใช้ชีวิตนั่งหน้าคอมนิ่งๆเป็นเวลานานๆเหมือนกัน จุดแข็งกลุ่มนี้คือ ทุกนาทีบนจอ = ฟรี airtime สำหรับแบรนด์ที่ขายของให้นักนั่งจอ (แว่นกรองแสง, เก้าอี้เออร์โก, พาวเวอร์แบงก์, ขนม Energy Bite) และสายนี้บางคนเขาจะมีคอนเทนต์เป็นไลฟ์ยาว 4 ชั่วโมง แฟนๆ ดูติดลม = โลโก้คุณวาร์ปขึ้นซ้ำๆ วนๆไป


  2. สายกีฬาและฟิตเนส: เช่น เทรนเนอร์ส่วนบุคคล กล้ามแน่น หุ่นดี ที่ทำให้เรารู้สึกอยากปาชานมไข่มุกทิ้งแล้วไปต้มอกไก่กิน จุดแข็งกลุ่มนี้คือ นับวันพนักงานออฟฟิศจะเข้าฟิตเนสมากขึ้นเรื่อยๆ ยิมกลายเป็นแหล่งรวมตัวที่คนอยากดูดีแต่งตัวมาอวดกัน สายนี้เลยไม่จำกัดแค่ของเกี่ยวกับอาหารเสริมหรือการกีฬาเท่านั้น แต่ยังสามารถครอบคลุมถึงสินค้าและบริการอีกสารพัดที่ตอบโจทย์ Lifestyle สายเฮลท์ตี้ ไม่ว่าจะเป็น สตรีทแฟชั่น Gears & Gadgets แม้กระทั่ง คอร์ส หรือ ประกันสุขภาพ นอกจากนั้น Retention ยังสูง เพราะการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ต้องทำทุกวัน แฟนๆเลยติดตามผลงานอย่างต่อเนื่อง โบนัสของสายนี้คือบางคนมีวิดิโอ YouTube นำออกกำลังกายยาวๆที่เอาไว้ให้คนดูทำตาม แปลว่าคนดูจะกลับมาดูคอนเทนต์นั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นคอนเทนต์ที่ life shelf นานมากๆ ถ้าแบรนด์คุณได้ปรากฎอยู่ในนั้นก็การันตีได้เลยว่าคนดูจะเห็นคุณไปซ้ำๆยาวๆ


  3. สายบล็อกเกอร์/วล็อกเกอร์: นักเล่าเรื่องผู้เปลี่ยนกิจวัตรน่าเบื่อเป็นมหากาพย์ เช่น “พาแมวไปหาหมอ” → คนดูเป็นแสน หรือ “Unbox ไม้แขวนเสื้อ” → คนแห่คอมเมนต์ว่าต้องการรีวิวละเอียดเพิ่ม เป็นสายที่รีวิวอะไรก็เนียนไปหมด แบรนด์อะไรแบบไหนจะเข้าก็ได้ จุดแข็งของสายนี้มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น trust ที่ผู้ติดตามรู้สึกเหมือนเรากำลังดูเพื่อนใช้ชีวิตประจำวัน และต้องยอมรับว่าอินฟลูเอนเซอร์สายนี้เป็นสายที่รีวิวสินค้าได้กว้างที่สุดสายหนึ่ง ตั้งแต่ปลั๊กไฟ, ประกันสัตว์เลี้ยง, น้ำยาปรับผ้านุ่ม, บัตรเครดิต Cashback, ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ DIY ถ้าผูกเรื่องได้ก็ขายได้หมด

  4. สายท่องเที่ยว: มนุษย์เร่ร่อนที่อัพคลิปทริปจนเราต้องถามตัวเองว่า “ชีวิตนี้กูเคยไปไหนบ้าง” จุดเด่นสายนี้คือ คนดูตามรอยทันที  เช่น คุณผู้ชายเวลาเราไปเที่ยว บางทีเราก็ใช้เขาเป็นข้ออ้างกับแฟนว่า "ที่รัก ร้านนี้ บาส Go Went Go ก็เคยมากินนะ" ถ้าไม่อร่อย = โยนความผิดให้ครีเอเตอร์ (555) นอกจากนั้นการเที่ยว = คนยอมรับที่จะจ่ายมากกว่าปกติ บางทีก็พร้อมซื้อของแพงอย่างไม่น่าเชื่อ สปอนเซอร์เข้าได้หมดเช่น แกดเจ็ท กระเป๋า เสื้อหนาว กล้อง เลนส์ ขาตั้ง พาวเวอร์แบงค์ เคสไอแพด ฯลฯ

  5. สายความงาม: จิตรกรผู้เสกคนธรรมดาให้กลายเป็นยาย่าใน 3 นาที พร้อมความสามารถในการทำให้คำว่า “ลุคเบาๆ ธรรมชาติ” หมายถึงเมคอัพ 10 เลเยอร์ ราคา 10,000 บาท นอกจากที่จะเป็นสายที่ตรงกับสินค้าประเภท สกินแคร์, คลินิก, treatment ที่สุดแล้ว ยังมีอีกจุดแข็งหนึ่งคือ เศรษฐกิจไม่ดีแค่ไหนคนก็จะไม่หยุดสวย (เล่าจากประสบการณ์ตรงที่บริษัทเราได้ร่วมงานกับคลินิกหลายแห่ง) นอกจากนี้ โดยเฉพาะในสินค้าประเภท สกินแคร์ คนมีความเปิดใจพร้อมลองของใหม่ๆได้ง่ายมาก ทำให้เป็นโอกาสสำหรับแบรนด์ใหม่ๆที่อยากตีตลาด

  6. สายแฟชั่น: มนุษย์ตู้เสื้อผ้าที่แปลงทุกไอเท็มเป็นแฟชั่นโชว์ และเปลี่ยน “ไม่มีอะไรจะใส่” ให้เป็นวลีฆาตกรรมเงินเดือน จุดแข็งคือถ้าคุณเป็นแบรนด์เสื้อผ้า อินฟลูเอนเซอร์สายนี้ตรงโจทย์ลูกค้าคุณที่สุดแล้ว เขาสามารถ Mix‑and‑Match ไร้ขีดจำกัด เสื้อผ้า fast fashion, luxury bag, รองเท้า sneaker รุ่นลิมิเต็ด, แอปเช่าเสื้อ, บัตรเครดิต 0%

  7. สายครอบครัว: คุณแม่บล็อกเกอร์ที่เล่าเรื่องลูก จนคนผู้ติดตามรู้จักลูกเขาดีกว่าอาจารย์แนะแนว จุดแข็งกลุ่มนี้คือคนติดตามที่เป็นกลุ่มสร้างครอบครัว ลูกยังเล็ก และมีเพนพอยต์เยอะมาก แต่เงินพร้อม คนไทยมีลูกกันน้อยลง พ่อแม่เลยทุ่มเงินได้ไม่อั้นกับลูกคนนึง เป็นโอกาสสำหรับการขายของที่มีมูลค่าสูงถ้าตอบโจทย์นี้ได้

  8. สายอาหาร: ห้ามดูก่อนนอนเด็ดขาด สกิลคือทำให้คนหิวตอนตีสอง ถ้าสั่งแกรบไม่ได้ก็ไปต้มมาม่า จุดแข็งของสายนี้คือ ของที่รีวิวเป็นปัจจัยสี่ที่ต้องเกี่ยวข้องกับทุกคน ผนวกกับเทรนด์รายการอาหารที่เยอะไปหมดทำให้คนกำลังให้ความสนใจกับ การทำอาหารเอง หาร้านอาหารแปลกๆ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

  9. สายป้ายยา: สายนี้เกิดมาเพื่อทำลายเงินเดือนของคนทั้งประเทศ รีวิวทุกอย่างตั้งแต่คลิปหนีบผมยันเตาอบ แค่พูดว่า “ต้องมี” ก็ทำให้ดูต่างรู้สึกผิดที่ยังไม่มี! จุดเด่นคือ คนที่ตามรู้ทั้งรู้ว่าจะโดนป้ายยา ก็ยังซื้ออยู่ดี คนติดตามมือลั่นง่ายมาก เพราะการได้ซื้อเป็นความสุขของคนตามช่องเหล่านี้ กลุ่มผู้ตามเปิดใจกับการของของใหม่ๆ



ชายสูงวัยในชุดพ่อมด มีหนวดเครายาว สวมหมวกทรงแหลม กำลังยิ้มและถือสมาร์ทโฟนยื่นไปข้างหน้าเหมือนกำลังเซลฟี่ พื้นหลังเป็นธรรมชาติภูเขาและท้องฟ้า สื่อถึงการผสมผสานระหว่างโลกเวทย์มนตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่
Let the wizard make sales! : Created by Midjourney

ปิดท้าย


โลกของอินฟลูเอนเซอร์คือพลังเวทมนตร์แห่งการตลาด ที่เปลี่ยนจาก "การโฆษณา" ให้กลายเป็น "คำแนะนำจากเพื่อน" และเปลี่ยนจาก "การมองเห็น" ให้กลายเป็น "การหยุดดูและซื้อจริง" อินฟลูเอนเซอร์ไม่ใช่แค่คนรีวิวสินค้า แต่คือสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าในแบบที่โฆษณาทั่วไปทำไม่ได้


ไม่ว่าคุณจะเลือกอินฟลูเอนเซอร์แบบไหน เล็กหรือใหญ่ สายไหนก็ตาม หัวใจสำคัญคือ "ความจริงใจ" และ "ความสัมพันธ์" ที่อินฟลูเอนเซอร์สร้างกับผู้ติดตาม เพราะท้ายที่สุดแล้ว แบรนด์ที่ชนะในยุคนี้ ไม่ใช่แค่แบรนด์ที่ดังที่สุด แต่คือแบรนด์ที่คน "รู้สึก" ใกล้ชิดและไว้วางใจมากที่สุด


บริษัทเราภูมิใจที่ได้มีส่วนช่วยแบรนด์ชั้นนำมากมายให้ได้ร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์นับหมื่นคน ไม่ว่าจะเป็น GQ, Osuka, ซันไลท์, โอโม่, บรีซ, มคลินทร์คลินิก และอีกมากมาย


เราพร้อมที่จะทำให้แบรนด์ของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยพลังของเหล่าอินฟลูเอนเซอร์


หากสนใจร่วมงานกับเรา

ติดต่อเราได้ที่

หรือนัดปรึกษากับเราว่า AI จะสามารถใช้งานในธุรกิจของคุณได้อย่างไร ฟรี: https://calendly.com/joeimpower/business-introductio#-call


อ้างอิง


  1. The Economist. Too many people want to be social-media influencers. The Economist. 2024 Oct 29 [cited 2025 May 8]. Available from: https://www.economist.com/business/2024/10/29/too-many-people-want-to-be-social-media-influencers

  2. Cube Asia, impact.com. E-commerce Influencer Marketing in Southeast Asia 2024. 2024 [cited 2025 May 8]. Available from: https://cube.asia/ecommerce-influencer-marketing-sea-2024/

  3. Partipost. Influencer Marketing Report 2024: The Future of Influencer Marketing in Southeast Asia. 2024 [cited 2025 May 8]. Available from: https://uploads-ssl.webflow.com/64396970daa63b2dec8b44a8/66c54c989de8781f5ea4b01e_Influencer%20Marketing%20Report%202024_%20The%20Future%20of%20Influencer%20Marketing%20in%20Southeast%20Asia.pdf

  4. Impact.com. The rise of influencer marketing in Southeast Asia. 2021 [cited 2025 May 8]. Available from: https://impact.com/influencer/the-rise-of-influencer-marketing-in-southeast-asia/

  5. Hogan Lovells. Tapping into influencer marketing in Southeast Asia. 2023 [cited 2025 May 8]. Available from: https://digital-client-solutions.hoganlovells.com/influencer/tool/influencers-tool-hot-topics-tapping-into-influencer-marketing-in-southeast-asia?utm_source=chatgpt.com

 
 
 

Comments


bottom of page